top of page

ปฐมวัย

               ชีวิตในวัยเด็กของท่านก็เหมือนกับเด็กชนบททั่วไป  ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนทำไร่ไถนาตามอาชีพของชาวชนบท  ซึ่งมีแต่ความแห้งแล้ง โดยเฉพาะอำเภอหนองหญ้าไซนั้นเป็นพื้นที่ค่อนข้างทุรกันดารมาก สมัยนั้นหนองหญ้าไซขึ้นอยู่กับอำเภอสามชุกท่านเล่าว่าปีไหนฝนดีก็ได้ข้าวดีประชาชนก็พลอยอยู่ดีมีสุขปีไหนฝนแล้งความเป็นอยู่ของผู้คนก็ลำบากยากเข็ญ  ในวัยเด็กท่านไม่ค่อยแข็งแรงท่านเคยเล่าให้ฟังว่า สาเหตุของการป่วยด้วยโรคหืดหอบนั้นเป็นเพราะเมื่ออายุได้ ๖ ปีท่านนั่งบนหลังควายแล้วเผลอหลับไปพอควายเดินข้ามหัวคันนาท่านจึงตกลงมา แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากแค่ช้ำในอีกครั้งหนึ่งท่านกับพี่สาวคือนางโน้ม เกตุประทุมไปเลี้ยงควายส่วนท่านมีหน้าที่เลี้ยงวัวเห็นลูกตะโกสุกเหลืองเต็มต้นจึงชวนพี่สาวขึ้นเก็บลูกตะโกมากินกัน ท่านขึ้นไปสูงพอสมควรกิ่งตะโกเกิดฉีกหักออกจากต้นท่านจึงตกลงมาพี่สาวท่านเล่าว่าท่านสลบไปครึ่งวันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านก็ป่วยเป็นโรคหอบมาตลอด เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยโรคหอบกำเริบก็เหมือนจะเป็นจะตายขึ้นมาทีเดียว ใหม่ๆโรคกำเริบเดือนละครั้งๆละ๗วันตลอดที่โรคกำเริบนั้นท่านจะไม่ได้กินไม่ได้นอนเลยจนกว่าอาการหอบจะบรรเทา ด้วยเหตุนี้เองบิดามารดาของท่านจึงห่วงใยท่านมาก โดยเฉพาะหน้าหนาวอาการป่วยจะกำเริบบ่อย  บิดามารดาต้องอดหลับอดนอนเพื่อเฝ้าดูอาการของท่านด้วยความห่วงใย ในเวลากลางวันบิดามารดาต้องไปทำนา พี่สาวของท่านจะคอยช่วยกันดูแลตลอดมา  เมื่ออาการป่วยทุเลาลง ท่านก็จะไปช่วยบิดามารดาทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระตามแต่จะทำได้ 

                

 

I

             พอมีอายุครบ๗ปีก็เข้าเกณฑ์รับการศึกษา  บิดามารดาได้ส่งเข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดบัลลังก์  ตำบล หนองหญ้าไซ  อำเภอสามชุก  จังหวัดสุพรรณบุรี  ซึ่งเรียนจบหลักสูตรแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่๔ท่านเรียนได้แค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ก็ต้องหยุดเรียนเนื่องจากสุขภาพของท่านไม่อำนวย ลาป่วยมากกว่ามาโรงเรียนพี่สาวท่านเล่าให้ฟังว่าเวลาเช้าพอจะเดินไปโรงเรียนได้แต่เวลาเย็นองค์ท่านต้องขึ้นหลังขี่คอพี่สาวกลับบ้านกว่าจะเดินไปถึงบ้านก็หอบตลอดทาง คำนวลระยะทางจากโรงเรียนวัดบัลลังก์ถึงบ้านของท่านก็ประมาณ๒กิโลเมตร แม้ท่านจะไม่แข็งแรงเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ  แต่ก็เป็นคนขยันขันแข็งหาเด็กอื่นเทียบได้ยากในหมู่บ้านเดียวกัน 

              

ภาพถ่ายสมัยเป็นฆราวาส อายุ ๑๙ ปี

ต้นมะซางริมคลองนี้เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านห้วยมะซางในปัจจุบันต้นมะซางต้นนั้นได้ถูกลมพัดโค่นล้มไปนานแล้วและสถานที่ตรงนั้นก็กลายเป็นท้องนาในปัจจุบันเมื่อสอบถามพี่สาวขององค์ท่านก็ได้รับการยืนยันว่าต้นมะซางต้นนั้นมีอยู่จริงและ อยู่ใกล้ๆสะพานข้ามคลองทางเข้าไปสู่บ้านท่านนั่นเองซึ่งก็ไม่ไกลจากบ้านท่านมากนักประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตรเท่านั้น     

  พี่สาวของท่านเล่าให้ฟังว่า  ท่านเป็นคนที่นอนตื่นแต่เช้ามืดเป็นประจำเสมอ  และยังเป็นคนรู้จักมัธยัสถ์ รู้จักกินรู้จักใช้จ่ายทรัพย์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์  อุปนิสัยใจคอของหลวงพ่อนั้น  นอกจากจะ เป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานละเอียดอ่อนแล้ว จิตใจของท่านยังสุขุมเยือกเย็นมุ่งมั่นหากท่านได้รับคำสั่งจากบิดามารดาให้ทำงานสิ่งใด ท่านจะทำงานนั้นๆจนสำเร็จเรียบร้อยทุกครั้ง ไม่เคยย่อท้อหรือบ่นว่าประการใดเลยท่านเป็นคนพูดน้อยมาแต่เยาว์วัย ความจำดี เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย สนใจการเรียน ไม่ซุกซนไม่เที่ยวเตร่จนเสียงานเวลาค่ำหลังเลิกงาน บิดาของท่านมักสอนหนังสือจากตำรับตำรา   ซึ่งเป็นสมุดไทยดำบ้าง สมุดข่อยบ้าง ส่วนมากจะเป็นตำรายาสมุนไพร และคาถาอาคมเป็นส่วนมาก ซึ่งหลวงพ่อก็สนใจเล่าเรียนจนมีความรู้แตกฉาน ในวิชาการเหล่านั้นเป็นอย่างดี  โดยเฉพาะวิชาการทำนายตามคัมภีร์จันทะกะลาและสุริยะกะลา ซึ่งผู้ที่จะศึกษาวิชานี้ ต้องฝึกการเดินลมแบบอาปานานุสติกรรมฐาน เพื่อฝึกจิตให้มั่นคงเริ่มจากการจับลมหายใจเข้าออกจนลมละเอียดอ่อนจิตรวมเป็นหนึ่ง

                 สมัยนั้นท่านก็ไม่รู้ว่าที่บิดาแนะนำให้ทำนั้นคือพื้นฐานของกรรมฐานรู้แต่เพียงว่าคงเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนวิชาของบิดา  แต่ความสงบที่เกิดจากการทำสมาธิในครั้งนั้นเอง ทำให้ท่านเกิดความศรัทธา ในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ปารถนาที่จะบวชเป็นสามเณร  แต่เนื่องด้วยสุขภาพไม่อำนวยมารดาของท่านจึงไม่อนุญาต ท่านจึงเรียนวิชาภาษาไทยและภาษาขอมและคาถาอาคมจากบิดาของท่านจนเชี่ยวชาญทั้งสมาธิจิตก็มั่นคงแน่วแน่ท่านเล่าว่า  ครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้ ๙ ปีประมาณปีพ.ศ.๒๔๘๓ไปเลี้ยงควายในทุ่งนาท่านก็ปล่อยควาย ให้กินหญ้าตามประสาของมันส่วนท่านก็นั่งสมาธิใต้ร่มไม้มะซางชายทุ่งนาริมห้วยซึ่งอากาศเย็นสบายและมีน้ำไหลรินตลอดปีเพื่อทบทวนหลักวิชาการของจันทะกะลา ที่เรียนมา จากบิดา

© 2015 by Piyanuch  Charernmool. Proudly created with Wix.com 

  • facebook
bottom of page