top of page

กลับวัดบัลลังก์

 

          เมื่อจวนเข้าพรรษาท่านจึงกลับมาวัดปู่เจ้าแต่มาอยู่วัดปู่เจ้าได้ไม่กี่วันท่านได้นิมิตเห็นเทวดาซึ่งเคยเป็นญาติในกาลก่อนคืออดีตชาติที่อยู่วัดบัลลังก์มานิมนต์ให้ไปจำพรรษาแต่ท่านก็เฉยเสียจนล่วงเข้าวันที่สองโยมบิดาของท่านพร้อมด้วยญาติโยมผู้ร่วมสร้างวัดได้มาอาราธนานิมนต์ให้ท่านกลับไปอยู่จำพรรษาที่วัดบัลลังก์เพราะอาจารย์พร ที่เคยอยู่ได้ลาสิกขาไปทำให้วัดบัลลังก์ไม่มีพระอยู่จำพรรษา เป็นเหตุให้ประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นและใกล้เคียงขาดที่พึ่งทางใจ

          เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจึงกราบลาเจ้าอาวาสวัดปู่เจ้าแล้วเดินทางกลับวัดบัลลังก์พร้อมกับญาติโยมก่อนเข้าพรรษาเพียงสามวัน เมื่อเข้าพรรษาในปีนั้นท่านจำพรรษาเพียงรูปเดียวแต่มีหลานชายคือคุณสนิท พลอยสุขมาเป็น ศิษย์อุปัฏฐาก ซึ่งขณะนั้นคุณสนิทอายุได้ ๑๐ ขวบ หลังจากเข้าพรรษาได้  ๗  วันท่านได้ให้โยมมารดาของท่านจัดพานดอกไม้ธูปเทียนแล้วจึงเดินทางไปวัดดอนไร่เพื่อกราบสักการขอขมาหลวงพ่อมุ่ยหรือพระเถระตามระเบียบของพระธรรมวินัย  เมื่อไปถึงวัดดอนไร่ 

         ขณะนั้นมีญาติโยมมาหาหลวงพ่อมุ่ยอยู่เป็นจำนวนมาก ท่านจึงหลบไปรอที่กุฏิหลังหอสวดมนต์เมื่อนั่งพัก  ได้สักครู่หนึ่งก็ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อมุ่ยว่าวันนี้ตั้งใจมาสักการบูชาขอขมาต่อองค์หลวงพ่อผู้เป็นบูรพาจารย์ที่เคารพนับถือของสานุศิษย์จึงตั้งใจรอให้หลวงพ่อว่างก่อนจะเย็นจะค่ำก็จะรอ  เมื่อท่านตั้งจิตอธิษฐานจบลง ครู่เดียวหลวงพ่อมุ่ยท่านก็ละญาติโยมที่นั่งอยู่ตรงหน้าเข้ากุฏิทันทีเมื่อญาติโยมเห็นหลวงพ่อมุ่ยเข้ากุฏิก็ทยอยกันลงไปข้างล่างจนหมด เมื่อโยมลงไปหมดท่านก็ออกมานั่งที่เก่าแล้วบอกพระอุปัฏฐากให้ไปเรียกท่านพยุงมา เมื่อเข้าไปกราบท่านแล้วท่านก็ถามทุกข์ สุขเพื่อเป็นเหตุระลึกถึงกันตาม อัธยาศัยของท่านแล้วหลวงพ่อมุ่ยก็กล่าวว่านี่พระเณรเราต้องอย่างนี้จะทำอะไรต้องตั้งใจทำให้ถึงที่สุดไม่ย่อท้อ  ท่านว่าหลวงพ่อมุ่ยท่าน ล่วงรู้จิตใจผู้อื่นได้รวดเร็วมากเพียงแต่ท่านไม่แสดงให้ผู้อื่นรู้โดยทั่วไปจะแสดงแก่ผู้ที่สมควรตามโอกาสหรือเฉพาะบุคคลเท่านั้นโดยปกติที่ท่านรู้เห็นทุกอย่างเพียงแต่ท่านวางเฉยเสียจนผู้ที่ไม่รู้เกิดความประมาทก็มี  เมื่อหลวงพ่อมุ่ยท่านให้โอกาสแล้วท่านจึงกระทำสามีจิกรรม คือ  การกราบไหว้แล้วกล่าวคำขอขมาแล้วรับพรตามธรรมเนียม แล้วท่านก็ให้โอวาทว่า ให้ตั้งใจปฏิบัติ สิ่งที่เรียนรู้มาก็หัดทำให้ชำนาญแต่จะถึงที่สุดได้ต้องเสียสละและอดทน เมื่อสมควรแก่เวลาท่านจึงขอโอกาสลากลับซึ่งท่านก็อนุญาตพอดีกับที่ญาติโยมพากันทยอยขึ้นมาหาหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง  

 

 

คุณสนิท พลอยสุข ศิษย์ผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นต้นมา

คุณบ่วง พลอยสุข (ภรรยาลุงสนิท)

ผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติวัดบัลลังก์

แม่ชีกลอย ปานเพชร เป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างวัดบัลลังก์

และประวัติของหลวงพ่อตั้งแต่อดีตจนถึง  ปัจจุบันเรื่องราวทั้งหมดนี้

ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวที่แม่ชีกลอยเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังจึงเป็น

แรงบันดาลใจในการเผยแพร่ข้อมูลนี้ แม่ชีกลอยนี้บวชอยู่กับหลวงพ่อ

ตั้งแต่ปี   พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นต้นมา และเป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่อ

เป็นอย่างมาก โดยแม่ชีกลอยได้เสียชีวิตลงเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙

      ประเพณีการขอขมานั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลซึ่งพระอรหันต์ทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติเป็นแบบฉบับให้กับพวกเราซึ่งเป็นอนุชนผู้เกิดมาในภายหลังได้ประพฤติตามทั้งเป็นการแสดงออกถึงความเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระเถระและครูบาอาจารย์ทั้งหลายวิธีการขอขมาพึงปฏิบัติดังนี้ ท่านจะพาพระเณรปฏิบัติดังนี้ทำเป็นประจำทุกปีจนกระทั่งหลวงพ่อมุ่ยละสังขารแล้วจึงไม่ค่อยได้ทำอีก หลวงพ่อพยุงแม้ท่านจะเป็นพระหนุ่ม แต่กิริยาอาการของท่านสำรวมยิ่ง นักไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดท่านก็สำรวมไปหมดไม่คะนองมือคะนองเท้าเหมือนคนหนุ่มโดยทั่วไปและท่านจะไม่คุยอวดตนหรือยกตนเลยโดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ด้วยแล้วท่านจะปฏิบัติตนเช่นพระบวชใหม่เสมอเวลาคุยอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านก็จะพนมมือด้วยทุกครั้ง มองดูแล้วช่างเป็นภาพที่งดงามน่าเลื่อมใสยิ่งนัก

© 2015 by Piyanuch  Charernmool. Proudly created with Wix.com 

  • facebook
bottom of page