top of page

 อุปสมบท

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            การอุปบทในสมัยสมัยนั้นหากเปรียบเทียบกับปัจจุบันแล้วแตกต่างกันมาก เพราะในสมัยนั้นเมื่อบุคคลใดปรารถนาจะบวชก็ต้องรอบวชพร้อมๆกันเช่นปีที่ท่านบวชนั้นคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวซึ้งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันก็มักจะบวชพร้อมกันบวชครั้งหนึ่ง๒๐-๓๐คน แล้วแต่ปีนั้นว่าใครจะบวชหรือใครถึงเกณฑ์ที่จะบวชเมื่อผู้เป็นพ่อเป็นแม่ของผู้จะบวชแต่ละคนปรึกษาหารือกันแล้วก็พร้อมกันไปปรึกษาเจ้าอาวาสซึ้งในสมัยนั้นในเขตหนองหญ้าไซ วัดที่จะประกอบพิธีอุปสมบทได้ก็มีอยู่วัดเดียวคือ วัดหนองหลวง เมื่อกราบเรียนเจ้าอาวาสแล้ว บิดาและมารดาของท่านจึงเดินทางไปยังวัดดอนบุพผาราม อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรีในสมัยนั้นชาวบ้านนิยมเรียกว่าวัดตะค่า สมัยนั้นการเดินทางค่อนข้างลำบากโดยมาจากบ้านห้วยมะซางที่ท่านอยู่มักเดินจากบ้านไปลงเรือที่สามชุกล่องแม่น้ำท่าจีนไปขึ้นเรือที่ปากคลองบางขวากแล้วเดินต่อไปยังบ้านปู่เจ้าและวัดดอนบุพผารามซึ้งมีพระครูศรีคณานุรักษ์ หรือหลวงปู่สม คงฺคสุวณฺโณ เป็นเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าคณะอำเภอปกครองดูแลจากอำเภอศรีประจันต์ไปถึงอำเภอสามชุก–เดิมบางนางบวช-ด่านช้างและหนองหญ้าไซในสมัยนั้นในเขตอำเภอดังกล่าวก็มีพระอุปัชฌาย์อยู่เพียงรูปเดียวคือพระครูศรีคณานุรักษ์หรือที่รู้จักโดยทั่วไปมักเรียกว่าหลวงปู่สม ยาอุไร แห่งวัดดอนบุพผาราม อนึ่งมารดาของหลวงพ่อพยุงนั้นก็เป็นญาติสนิทใกล้ชิดสนิทสนมซึ่งเคารพนับถือและคุ้นเคยกับหลวงปู่สมมาแต่เดิม เพราะบ้านเกิดมารดาของหลวงพ่อพยุงนั้น อยู่บ้านปู่เจ้าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากวัดดอนบุพผารามมากนัก สมัยที่ท่านยังเด็กมารดาของท่านมักจะพาลูกๆไปทำบุญที่วัดปู่เจ้าและวัดดอนบุพผารามอยู่เสมอ เมื่อกราบเรียนเรื่องการบวชบุตรชายและกุลบุตรในเขตหนองหญ้าไซให้หลวงปู่สมทราบแล้วจึงกราบอาราธนานิมนต์ท่านไปเป็นอุปัชฌาย์ซึ้งท่านก็รับตามประสงค์หลังจากกราบลาหลวงพ่อสมแล้วจึงกลับมาค้างคืนที่บ้านปู่เจ้าบอกญาติพี่น้องแล้วเช้าจึงเดินทางกลับไปบ้านห้วยมะซางซึ่งต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ 

พระครูศรีคณานุรักษ์ พระอุปัชฌาย์ ของหลวงพ่อ

         เมื่อถึงกำหนดวันบวช หลวงปู่สม แห่งวัดดอนบุผผารามก็นั่งเรือมาจากปากครองบางขวากบิดาของท่านก็นำเกวียนมารับที่สามชุกโดยหลวงปู่จะเดินทางล่วงหน้ามาก่อนวันหนึ่งแล้วไปจำวัดที่วัดหนองหลวง รุ่งขึ้นมารดาของท่านให้คนนำข้าวต้มมาถวายพระเมื่อพระฉันแล้วก็บวชกันแต่เช้าตรู่ นาคบ้านใดมีเครื่องแห่ก็แห่แหนกันไปนาคใดไม่มีเครื่องแห่ก็เวียนทักษิณาวัตรแล้วเข้าอุโบสถขานนาคบวชกันเรื่อยไปครั้งละสามนาค พอเพลก็หยุดถวายเพลพระกันก่อน พอบ่ายโมงก็บวชชุดที่เหลือกันต่อไปอีกกว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็บ่ายคล้อย สมัยนั้นผู้คนนิยมแห่นาคด้วยช้างซึ่งช้างเชือกนั้นเป็นของตาสิงห์บ้านปุ่มโคก ชื่ออีลมซึ่งคนในยุคนั้นต่างรู้จักดี ช้างเชือกนี้แสนรู้มากนิสัยของมันชอบคนพูดดี หากมีใครไปด่าไปว่า มันจะแสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที ภายหลังท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่าทั้งคนและสัตว์ก็ชอบคนพูดดีทำดีทั้งนั้น ที่จริงการบวชครั้งละมากๆนั้นไม่ใช่เรื่องเนิ่นช้า แต่ที่ช้าเพราะว่านางรำนั้นไม่ยอมเดินต่างหาก   เดินหน้าไปเก้าถอยหลังไปอีกสามเก้า  สมัยนั้นงานบวชนัดจัดกันปีละครั้งจึงต้องรำให้คุ้ม  ท่านพูดแล้วก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี   

พระภัทรมุนี (ผล ภัททิโย)

เจ้าอาวาสวัดไชนาวาส   พระกรรมวาจาจารย์ของหลวงพ่อ

      หลวงพ่อท่านเข้าอุปสมบท เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ ณ.อุโบสถวัดหนองหลวง  ตำบลหนองหญ้าไซ    อำเภอสามชุก(ปัจจุบันเป็นอำเภอหนองหญ้าไซ)จังหวัดสุพรรณบุรี   ซึ่งมี พระครูศรีคณานุรักษ์ (หลวงปู่สม คงฺคสุวณฺโณ) วัดดอนบุพผารามเป็นพระอุปัชฌาย์,  พระมหาผล  ภทฺทิโย     วัดพังม่วง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (ภายหลังเป็นพระภัทรมุณี ),  พระปลัดเตี้ยม อาภสฺสโร วัดดอนบุพผาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์(ภายหลังเป็นพระครูอาภัสรคุณ)

พระครูอาภัสรคุณ (เตี้ยม อาภัสสโร)            พระอนุสาวนาจารย์ของหลวงพ่อ

© 2015 by Piyanuch  Charernmool. Proudly created with Wix.com 

  • facebook
bottom of page